สถานการณ์ปัญหาความยากจน
เรียนรู้กับเรา
เมษายน 28, 2024

เส้นความยากจน เป็นการนำรายได้ต่อหัวมากำหนดว่าใครบ้างเป็นคนจน ในปี 2564 ไทยมีคนจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจน (2,803 บาทต่อเดือน) มีจำนวนราว 4.4 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 6.32 ของประชากรทั้งหมด ขณะที่จำนวนครัวเรือนที่ยากจน จำนวน 1.24 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 4.79 ของครัวเรือนทั้งหมด (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565, หน้า 1) เมื่อพิจารณารายได้ต่อเดือนตามเส้นแบ่งความยากจนดังกล่าว หากภาครัฐแก้ปัญหาโดยการให้เงินสงเคราะห์หรือช่วยเหลือการลดรายจ่ายต่อเดือน อาจทำให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนอยู่เล็กน้อย พ้นจากความยากจนทันที แต่จะเป็นการหลุดพ้นแบบชั่วคราวขาดความยั่งยืน เพราะเมื่อไม่ได้รับการสงเคราะห์และขาดความสามารถในการหารายได้ ก็จะมีโอกาสสูงที่จะมีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนอีกครั้ง
ดัชนีความยากจนหลายมิติ เป็นการวัดความยากจนในมิติอื่นที่ไม่ใช่ด้านรายได้ที่ส่งผลต่อความยากจน โดยมี 4 มิติ ได้แก่ มิติการศึกษา มิติการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ มิติความเป็นอยู่ มิติความมั่นคงทางการเงิน ปรากฏว่าปี 2564 มีผู้ยากจนตามดัชนีความยากจนหลายมิติ จำนวน 5.7 ล้านคน (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565, หน้า 24 – 26) เมื่อมีการวัดความยากจนหลายมิติแล้ว การแก้ปัญหาความยากจนไม่ควรแก้ไขแยกส่วน มุ่งแก้เฉพาะมิติใดมิติหนึ่งที่มีปัญหา เพราะแต่ละมิติมีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบที่ทำให้เกิดความยากจน
ครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น เป็นการประเมินจากความขัดสนด้านรายได้และเป็นครัวเรือนที่มีเด็ก
และเยาวชนอายุ 0 – 18 ปี ซึ่งมีโอกาสสูงที่ส่งต่อความยากจนไปสู่ลูกหลาน พบว่า ปี 2565 ครัวเรือนที่มีแนวโน้มจะตกอยู่ในความยากจนข้ามรุ่นมีจำนวนถึงประมาณ 597,248 ครัวเรือน จำนวนของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงจากผลของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คาดว่าจะนำไปสู่การมีเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่องยาวนาน ทำให้การหลุดพ้นจากกับดักความยากจนมีความยากยิ่งขึ้น (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13, หน้า 97) ฉะนั้น ควรมีมาตรการพิเศษที่จะให้คนในครอบครัวยากจนข้ามรุ่น มีขีดความสามารถที่จะเอาชนะกับปัญหาความยากจนได้ โดยการช่วยเหลือทั้งการสงเคราะห์แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการพัฒนาศักยภาพให้พึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นมาตรการที่ภาครัฐต้องการแก้ปัญหาความยากจน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือมีทรัพยสินไม่เกินกว่าที่กำหนด ปี 2560 ผู้ที่มีคุณสมบัติได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 11.4 ล้านคน (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , 2561, หน้า 4) ขณะที่ปี 2564 มีจำนวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ราว 13.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20.43 ของประชากรทั้งหมด (รายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมปีงบประมาณ พ.ศ. 2564. , หน้า 22) ทั้งนี้ การมีผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนมาก เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าผู้ขัดสนที่ต้องรับการช่วยเหลือมีจำนวนมากด้วยเช่นกัน สะท้อนว่าปัญหาความยากจนในสังคมไทยน่าห่วงใย สมควรต้องเร่งป้องกันและแก้ไข
ในปี 2564 กลุ่มคนที่มีปัญหาความยากจนในด้านตัวเงินที่รุนแรง “คนจนมาก” จำนวน 1.36 ล้านคน
คิดเป็นร้อยละ 1.95 ของประชากรทั้งหมด “คนจนน้อย” จำนวน 3.05 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.37 ของประชากรทั้งหมด และ “คนเกือบจน” เป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นคนจนได้ง่าย จำนวน 4.82 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 6.91 ของประชากรทั้งหมด (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565, หน้า 4) ตามตารางที่ 1 ข้างล่างนี้

ตารางที่ 1 สรุปจำนวนคนเกือบจนและคนจนตามเกณฑ์เส้นความยากจน (poverty line) ปี 2564
ตามตารางที่ 1 เมื่อคำนวณรายได้ของคนเกือบจน ปรากฎว่ามีรายได้ 2,804 – 3,364 บาท/เดือน
หรือเฉลี่ยไม่เกิน 113 บาท/วัน ถือว่ายังมีรายได้น้อย เมื่อเทียบกับภาระค่าครองชีพในปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในฐานะผู้ยากจน จึงนับรวมว่าเป็นผู้ขัดสนที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษในการออกแบบพัฒนาศักยภาพโดยเฉพาะ ถ้ารวมจำนวนคนเกือบจน คนจนน้อย และคนจนมาก ปรากฏว่ามีทั้งสิ้น 9.23 ล้านคน นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย หากไม่ได้รับการแก้ไขที่ตรงจุด จะทำให้ประเทศไม่สามารถก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปได้ และเกิดผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม
หมายเหตุ เนื้อหาบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ”การพัฒนาศักยภาพคน ให้แก้จนอย่างยั่งยืน” ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนแบบโดยไม่รับอนุญาตเป็นลายลักษณอักษรจากผู้เขียน (ดร.ทิวากร พิศาลสฤษดิกรรม