สาเหตุความยากจน

เรียนรู้กับเรา

พฤษภาคม 2, 2024

สาเหตุความยากจน

               เมื่อปี 2545 ได้มีการสรุปผลการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และสาเหตุปัญหาความยากจนตลอดจนมีข้อเสนอการแก้ปัญหาความยากจนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหัวข้อ “คนจน : โอกาสใหม่ในการพึ่งตนเอง” ในเอกสารประกอบการประชุมประจำปี 2545 “ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย : 5 ปี หลังวิกฤตเศรษฐกิจ” เมื่อ 21 มิถุนายน 2545 ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้ผ่านไปแล้ว 20 ปี สาเหตุความยากจน ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สรุปดังนี้

  • ลักษณะความยากจนตามเกณฑ์เส้นความยากจน ได้แก่ (1) ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท (2) ส่วนใหญ่อยู่ภาคเกษตร (3) ถือครองที่ดินน้อย (4) มีการศึกษาระดับต่ำ (5) มีขนาดครอบครัวใหญ่ (6) มีอัตราพึ่งพิงสูง
  • ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อความยากจน มีดังนี้
  1. ปัจจัยที่พบจากการศึกษาด้วยวิธีสถิติวิเคราะห์แบบ Multivariate Analysis

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะคนจน ได้แก่ (1 ) อาชีพของผู้นำครอบครัว  อาชีพของผู้นำครอบครัวเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด  ที่ส่งผลต่อโอกาสตกเป็นคนจน พบว่าอาชีพที่มีแนวโน้มจะเพิ่มโอกาสการตกเป็นคนจน ได้แก่ การประมง การป่าไม้ และเกษตรกรรม เมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม พบว่า กลุ่มเกษตรกรรายย่อยผู้มีที่ดินทำกินน้อยกว่า 10 ไร่ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการตกเป็นคนจนมากที่สุด (2) เพศของผู้นำและสมาชิกของครอบครัว   ผู้นำและสมาชิกของครอบครัวที่เป็นเพศหญิงจะมีส่วนลดโอกาสตกเป็นครัวเรือนยากจน (3) ขนาดของครัวเรือน   สมาชิกในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นคนหนึ่ง จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับสมาชิกทุกคนในครัวเรือน การตกเป็นคนจน (4) ที่อยู่อาศัย   การอาศัยอยู่ในเมืองมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจนได้เพียงเล็กน้อย (5) อายุของสมาชิกในครอบครัว   หากสัดส่วนสมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุ 15 – 24 ปี เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจน ขณะที่ครัวเรือนที่มีสัดส่วนสมาชิกที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จะลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจน (6) อายุของผู้นำครอบครัวที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มโอกาสตกเป็นคนจน เนื่องจากศักยภาพในการหารายได้ที่มักลดลงเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย  ได้แก่  (1) การศึกษาสูงสุดของสมาชิกในครอบครัว  การศึกษายังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญสุดในการลดความเสี่ยงต่อโอกาสตกเป็นคนจน พบว่าระดับการศึกษาสูงสุดที่สมาชิกในครอบครัวได้รับเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจนของคนในครอบครัวจะลดลงอย่างชัดเจน (2) งบประมาณต่อประชากรในจังหวัดที่ครัวเรือนอาศัยอยู่   งบประมาณต่อประชากรรายจังหวัดที่เพิ่มขึ้น จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นคนจนได้มากขึ้น (3) การขยายตัวของรายได้เฉลี่ยต่อประชากรในจังหวัด  การขยายตัวของรายได้เฉลี่ยต่อประชากรในจังหวัด ร้อยละ 1 ของรายได้เฉลี่ยเดิม จะสามารถลดความยากจนในจังหวัดนั้นได้ประมาณร้อยละ 0.1 ของระดับความยากจนเดิม (4) การขาดแคลนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน พบว่า การขาดแคลนสาธารณูปโภคประเภทการคมนาคมจะเพิ่มโอกาสตกเป็นคนจนมากกว่าที่สุด รองลงมาคือการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร

  1. ปัจจัยที่พบจากการศึกษาโดยประเมินสาเหตุของปัญหาความยากจนแบบมีส่วนร่วม(Participatory Poverty Assessment) มีดังนี้

                            ปัจจัยภายใน   ได้แก่ (1) มีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย เพราะประกอบอาชีพที่ไม่มั่นคงหรือมีรายได้น้อย (2) ขาดความรู้และความสามารถในการจัดการการผลิตและการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องการออมทรัพย์ เนื่องจากคนจนส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา (3) มีนิสัยหรือยึดทัศนคติที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเอง เช่น ใช้จ่ายไม่ประหยัด รักความสบาย เป็นต้น (4) มีภาระที่ต้องรับผิดชอบสูง เนื่องจากครอบครัวคนจนนิยมมีลูกมาก หรือสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เนื่องจากพิการหรือเจ็บป่วย (5) มีภาระด้านหนี้สินที่ตกทอดลงมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ทำให้อับจนหนทางมากขึ้น

ปัจจัยภายนอก   เป็นปัจจัยทางโครงสร้างหรือสภาพแวดล้อมในชุมชน ได้แก่
(1) สภาพแวดล้อมภายในชุมชนไม่น่าอยู่และไม่ถูกสุขลักษณะ ชุมชนประสบกับปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด ทำให้อัตราความเสี่ยงในการดำรงชีวิตของคนในชุมชนมีสูง (2) ชุมชนขาดกระบวนการเรียนรู้ การบริหารจัดการองค์กรภายในชุมชน เพราะขาดความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขาดการเรียนรู้ต้นแบบจากชุมชนที่เข้มแข็ง และขาดข้อมูลข่าวสาร

ผลกระทบจากภายนอก   เป็นสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งมีผลกระทบต่อคนจน ได้แก่ (1) ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ (2) วิกฤตเศรษฐกิจ และความแปรปรวนของราคาผลผลิตในตลาดโลก (3) ความทรุดโทรมของแหล่งทรัพยากร

  • ข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจน โดยมี 2 จุดมุ่งหมายหลัก และ 2 แนวทางหลัก ดังนี้

จุดมุ่งหมายหลัก

  1. เพิ่มขีดความสามารถและพัฒนาศักยภาพของคนจนให้สามารถปรับตัวอย่างมีภูมิคุ้มกันและพึ่งตนเองได้อย่างยิ่งขึ้น
  2. วางรากฐานการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยเน้นการปรับปรุงระบบบริหารจัดการ ส่งเสริมนโยบายการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย ให้เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน

แนวทางหลัก

  1. การปรับปรุงระบบบริหารจัดการภาครัฐ อาทิ การเพิ่มบทบาทภาคประชาชน ชุมชน
    และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดทำครัวเรือนเป้าหมาย การจัดทำแผนแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นการเฉพาะ
  2. การเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนจนและชุมชน อาทิ อุดหนุนการศึกษาแก่เด็กยากจน การเพิ่มศักยภาพของคนจนวัยทำงาน

             วิทยากร เชียงกูล (2547, หน้า 26 อ้างใน ธนพล สราญจิตร์ 2558,) ได้สรุปปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิด
ความยากจน ดังนี้

  1. ขาดแคลนปัจจัยการผลิตและปัจจัยการยังชีพที่เหมาะสม เช่น ไม่มีที่ดินหรือมีน้อย ที่ดินไม่ดี ขาดน้ำ ไม่มีเงินทุน ไม่มีอุปกรณ์การผลิตของตนเอง ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต้องเช่า ต้นทุนสูง ประสิทธิภาพต่ำ ผลตอบแทนต่ำ ป่า ทะเล สภาพแวดล้อมถูกทำลายไม่สามารถที่จะหาอาหารจากธรรมชาติหรือผลิตเองได้เหมือนในอดีต
  2. ไม่ได้รับการศึกษาอบรมชนิดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การมีงานทำ และวิถีชีวิตที่เหมาะสม หัวหน้าครอบครัวได้รับการศึกษาต่ำ ลูกหลานที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้นมาหน่อย ก็มักเป็นการศึกษาแบบสามัญที่ใช้แก้ปัญหาหรือสร้างงานให้ตัวเองไม่ได้ หากไม่มีใครจ้าง
  3. เป็นผู้เสียเปรียบจากระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผูกขาด การที่เกษตรกรไทยถูกชักจูงจากนโยบายการพัฒนาและเศรษฐกิจ ระบบตลาดเปลี่ยนวิถีการผลิตจากการปลูกข้าวและทำเกษตรผสมผสาน เพื่อกินเพื่อใช้ มาเป็นการปลูกพืชเดี่ยวเพื่อขาย ทำให้ต้นทุนการผลิตเกษตรกรสูงขึ้น แต่ได้ผลตอบแทนต่ำ เพราะระบบพ่อค้าผูกขาด การเป็นหนี้เรื้อรังและเสียดอกเบี้ยสูง การเสียเปรียบในเรื่องซื้อปัจจัยการผลิตแพงแต่ขายพืชผลได้ราคาถูก
  4. เป็นผู้เสียเปรียบจากระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบอำนาจนิยม การเล่นพวก การนับถือเงิน
    เป็นพระเจ้า คนจนผู้มักจะมีความรู้น้อย อำนาจต่อรองน้อย เป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบง่ายแทบทุกด้าน คนจนต้องจ่ายค่าบริการแพงกว่าคนอื่น ต้องจ่ายภาษีเถื่อนหรือค่านายหน้าให้กับผู้มีอำนาจมากกว่า และจ่ายภาษีทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของพวกเขาในอัตราสูงกว่าคนอื่น ๆ
  1. เป็นผู้เสียเปรียบและพ่ายแพ้ในระบบโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมแบบทุนนิยมใหม่ ทั้งในด้านการผลิตและการบริโภค เช่น โครงการสาธารณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนของรัฐ ทำให้ต้องอพยพสูญเสียที่ทำกิน ทำงานแข่งขันในระบบทุนนิยมสู้เขาไม่ได้ เพราะเป็นผู้ประกอบการขนากเล็กกว่า มีทุนน้อยกว่า มีความรู้ความชำนาญในเรื่องการผลิตการตลาดน้อยกว่า ต้นทุนสูงกว่า ประสิทธิภาพต่ำกว่า ล้มละลายขาดทุน ตกงาน ส่วนด้านการใช้ชีวิตการบริโภค ก็ปรับตัวไม่เป็น ไม่รู้จักออม บริโภคสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เหล้า บุหรี่ การเล่นหวย และการพนันอื่น ๆ ซื้อสินค้าเงินผ่อนหรือเป็นหนี้หลายต่อ แบบหมุนเงินไปใช้วันๆ ทำให้เสียดอกเบี้ยสูง ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูงโดยไม่คุ้มค่า การเสียเปรียบและพ่ายแพ้ในเชิงโครงสร้าง เป็นการซ้ำเติมให้ผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้วยิ่งจนซ้ำซากเรื้อรัง อย่างไม่มีทางออก
  2. เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่ตกงาน ชราภาพ พิการ เป็นเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้าที่ไม่มีคนดูแลที่เหมาะสม
    เป็นหม้าย เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลลูกหลานมาก โดยไม่มีงาน ทุนทรัพย์ ความสามารถที่จะหางาน รายได้หรือความช่วยเหลือที่เพียงพอแก่การยังชีพในเกณฑ์มาตรฐาน

สาเหตุแห่งความยากจนในประเทศจำแนกได้ 2 สาเหตุ (คณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา
อ้างใน ธนพล สราญจิตร์, 2558) ดังนี้

  1. สาเหตุภายในตัวบุคคล เป็นปัจจัยภายในหรือปัจจัยภาคประชาชน คือ สิ่งที่ประชาชนต้องสัมผัสและดำเนินการอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นในระดับปัจเจกชนที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ดังนี้

1.1 ปัญหาความยากคนจนในชนบท ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความยากจนที่สำคัญ คือ ปัญหาเรื่องคุ้มทุนการผลิต ขายที่ดินทำกิน รวมถึงต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ที่มีราคาแพง ทำให้เกิดภาระหนี้สินตามมา การไม่รู้ช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า ทำให้ต้องอาศัยพึ่งพาพ่อค้าคนกลางในท้องถิ่น ทำให้ผลผลิตมีราคาตกต่ำเพราะไม่มีอำนาจในการต่อรองราคามากเท่าที่ควรจะเป็น

1.2 การขาดความรู้และความสามารถในการดำเนินงานต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้น
จากวัฏจักรแห่งความยากจนไปได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดการจัดการที่ผิดพลาด ขาดการวางแผนและการจัดการที่ดีขาดความรู้และเทคโนโลยีการผลิต ทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพและได้ปริมาณน้อย ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันต่ำ

1.3 วิถีชีวิตของแต่ละบุคคล อาทิ ปัญหาด้านการขาดศีลธรรมและคุณธรรม อบายมุขและยาเสพติด ค่านิยมด้านการบริโภคนิยมที่ทำให้เกิดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในการดำเนินชีวิต และปัญหาด้านสุขภาพอนามัยที่ส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงการประกอบอาชีพที่ทำได้ยากลำบาก

1.4 ปัญหาความยากจนในเมือง คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ คือ ผู้ใช้แรงงานและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งประสบปัญหาที่ทำให้เกิดความยากจน คือ การว่างงานเป็นผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การถูกกดค่าแรง ตัดเงินเดือน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ปัญหาด้านการขาดความรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพ ทำให้มีข้อจำกัดในการหารายได้มาใช้ในการดำเนินชีวิต

  1. สาเหตุภายนอกตัวบุคคล เกิดจากการกระจายอำนาจทางการเมือง และทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกัน

ผลการวิเคราะห์ลักษณะของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น พบว่า  ส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม การศึกษาต่ำ
และอัตราการพึ่งพิงสูง โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เข้าข่ายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น คือ การขาดความมั่นคงทางการเงิน เนื่องจากไม่มีเงินออม (ร้อยละ 73.4) รองลงมาคือ ความขัดสนทางการศึกษาจากการที่เด็กอายุ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับครบ 9 ปี (ร้อยละ 17.2) เด็กจำนวนมากต้องหลุดออกนอกระบบการศึกษาเนื่องจากครอบครัวไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาได้ ในขณะเดียวกันเกือบร้อยละ 70 ของหัวหน้าครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นมีการศึกษาเพียงระดับประถมหรือต่ำกว่า และเมื่อพิจารณาโครงสร้างประชากรภายในครัวเรือน พบว่า อาชีพของหัวหน้าครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นส่วนใหญ่ คือ อาชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 48.5) รองลงมา คือ รับจ้างทั่วไป (ร้อยละ 28.8) การขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา และการมีทักษะความรู้ที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของเด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น ทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานในฐานะแรงงานทักษะต่ำหรือแรงงานกึ่งมีทักษะเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเด็กในอนาคต และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13, หน้า 97)

ผลการศึกษาสาเหตุแห่งปัญหาด้านศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของคนจนในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม มีข้อสรุปสาเหตุ จำนวน 16 ข้อ (ชาตรี ศิริสวัสดิ์, 2553, หน้า 44) ได้แก่ (1) มีความยากจนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้ศักยภาพในการพึ่งตนเองด้อยลง (2) ขาดแคลน ปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค หรือได้รับปัจจัยดังกล่าวไม่เพียงพอ (3) ขาดแคลนเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน (4) คนที่ขาดความศรัทธาและยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา ทำให้เกิดความทุกข์ใจได้ง่าย (5) ขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในงานอาชีพที่เพียงพอต่อการหาเงินและทรัพย์สิน (6) ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง (7) ติดอบายมุข เช่น บุหรี่ สุรา การพนัน การเที่ยวเตร่ (8) ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองหรือมีน้อยเกินไป (9) ขาดผู้นำในชุมชนที่เข้มเข็ง (10) ขาดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งและที่มุ่งไปสู่การเรียนรู้ (11) ขาดโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนในการศึกษา เรียนรู้ พัฒนาตนเองและการลงทุน (12) มีปัญหาสุขภาพ (ทั้งสุขภาพกายและรวมถึงสุขภาพจิต) (13) ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว (14) ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป (15) กติกาสังคมไม่เป็นธรรม คนบางกลุ่มมีโอกาสแสวงประโยชน์และเอาเปรียบคนจนและคนด้อยโอกาสในสังคม (16) ขาดอำนาจต่อรอง

จากการสรุปและเรียบเรียงงานวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยโครงการกิจกรรมการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคนโยบาย พบว่า ลักษณะความยากจนในประเทศไทย สาเหตุของการตกสู่ความยากจน และการหลุดออกจากความยากจน (สำนักงานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม, 2562) สรุปดังนี้

ลักษณะความยากจน   

ความยากจนเป็นปัญหาที่มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ (1) ภายในตัวบุคคล ได้แก่ การขาดตันทุนการผลิต ขาดที่ทำกิน ต้นทุนการผลิตมีราคาสูง ความเจ็บป่วยหรือพิการ การขาดความรู้ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพ การขาดศีลธรรมและคุณธรรม ติดอบายมุข ยาเสพติด การว่างงาน ค่าแรงงานต่ำ การถูกเอาเปรียบ และการเป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบ (2) ภายนอกตัวบุคคล ได้แก่ การกระจายอำนาจที่ไม่เท่าเทียม นโยบายที่ไม่ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน ระบบการบริหารงานภาครัฐที่ด้อยประสิทธิภาพ ความด้อยประสิทธิภาพโครงสร้างภาษีที่ไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบประมาณ และการให้ความสำคัญกับระบบทุนนิยมมากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สาเหตุของการตกสู่ความยากจนและการหลุดออกจากความยากจน สรุปโดยย่อ ดังนี้

ตารางที่ 1 สาเหตุของการตกสู่ความยากจนและการหลุดออกความยากจน

              เมื่อได้วิเคราะห์และสังเคราะห์สาเหตุของความยากจน เห็นว่า  ปัจจัยที่มีผลกระทบทำให้เกิดความยากจน มี 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) ปัจจัยขัดสนจากภายนอก เป็นปัจจัยที่ผู้ขัดสนไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ การจัดสรรทรัพยากรจากภาครัฐ การเกิดสงคราม การเกิดภัยธรรมชาติ (2) ปัจจัยขัดสนจากภายใน เป็นปัจจัยที่เกิดจากตัวบุคคลอันเกิดมาจากความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ซึ่งผู้ขัดสนสามารถควบคุมได้หรือป้องกันได้ และสามารถดำเนินการแก้ไขด้วยตนเอง  เพื่อให้มีวิถีชีวิตหรือพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต เช่น การออม การประหยัด การไม่เล่นการพนัน เป็นต้น  รวมถึงการมีขีดความสามารถในการเพิ่มผลิตภาพหรือพัฒนาอาชีพ ให้สร้างรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ดังนั้น การแก้ปัญหาความยากจน ต้องสามารถหาทางออกให้กับผู้ขัดสนได้อย่างรอบด้าน เพราะสาเหตุการเกิดความยากจนมีความซับซ้อน หากมุ่งแก้สาเหตุเฉพาะที่เป็นปัจจัยขัดสนจากภายนอกเพียงอย่างเดียว จะแก้ความยากจนไม่สำเร็จ ตัวอย่างเช่น ผู้ยากจนไม่สามารถทำประโยชน์จากที่ดินรับการจัดสรรอย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ อาจถึงขั้นขายที่ดินดังกล่าวออกไป ซ้ำร้ายหากนำเงินที่ขายได้ไปเล่นการพนัน ก็ถือว่าเป็นปัญหาซ้อนปัญหา เป็นต้น การแก้ปัญหาจากสาเหตุปัจจัยขัดสนจากภายในของผู้ขัดสน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยเหลือให้มีศักยภาพพึ่งพาตนเองได้ ทำให้ผู้ขัดสนสามารถอยู่รอดได้แม้จะต้องพบวิกฤตต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต การแก้ปัญหาความยากจนต้องแก้สาเหตุทั้งปัจจัยขัดสนจากภายนอกและภายในให้ได้อย่างมีความสมดุล การดำเนินการต้องมีระบบ อาศัยการผนึกกำลังหลายฝ่ายโดยเฉพาะภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการดำเนินการต่อเนื่องและระยะยาว รวมทั้งใช้วิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลาย

………………………

หมายเหตุ เนื้อหาบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ”การพัฒนาศักยภาพคน ให้แก้จนอย่างยั่งยืน”  ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์  ห้ามลอกเลียนแบบโดยไม่รับอนุญาตเป็นลายลักษณอักษรจากผู้เขียน (ดร.ทิวากร      พิศาลสฤษดิกรรม)

สั่งซื้อหนังสือได้อย่างไร ?

ท่านสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ ?
สายด่วน : 062 426 9589 (คุณพรอุมา)

สนับสนุนเว็บไซต์

หากต้องการสนับสนุนเราในการดำเนินงานพัฒนาเว็บไซต์เพื่อสังคม
สามารถโอนเงินได้ที่
ดร.ทิวากร พิศาลสฤษดิกรรม ธนาคารทีทีบี สาขากระทรวงกลาโหม
เลขที่บัญชี : 039 2 64438 1