ทิศทางการแก้ปัญหาความยากจนของไทย
ทิศทางการแก้ปัญหาความยากจนของไทย
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ได้วางหลักการพัฒนาที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีการกำหนดหมุดหมายและกลยุทธ์การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความยากจนและสมรรถนะของคนไทย สรุปดังนี้
หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง
กลยุทธ์การพัฒนาที่ 1 การแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นแบบมุ่งเป้าให้ครัวเรือนหลุดพ้นความยากจน
อย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ย่อยที่ 1.1 ให้ความช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น เพื่อสร้างสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเด็ก โดยให้ความคุ้มครองทางสังคมอย่างเฉพาะเจาะจงในกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านศักยภาพ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพที่มีผลิตภาพและรายได้สูงขึ้น ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงาน การหางานที่เหมาะสมกับศักยภาพของครัวเรือน บริบทของพื้นที่ และทิศทางการพัฒนาประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ พร้อมทั้งจัดหาพี่เลี้ยงให้คำแนะนำช่วยเหลือตลอดกระบวนการ
กลยุทธ์ย่อยที่ 1.2 พัฒนากลไกการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นในระดับพื้นที่ มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพ และเพิ่มบทบาทของหน่วยงานส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ในการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นพร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนกลยุทธ์การพัฒนา โดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลในการระบุครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น ปัญหา ความจำเป็น ความต้องการ แนวทางการปฏิบัติ และการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด ในการลดปัญหาความยากจนข้ามรุ่นอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์การพัฒนาที่ 2 การสร้างโอกาสที่เสมอภาคแก่เด็กจากครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น
กลยุทธ์ย่อยที่ 2.1 สนับสนุนครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นให้สามารถเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงปฐมวัยได้อย่างมีคุณภาพ พัฒนาระบบการให้เงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการแก้ไขปัญหาผู้มีสิทธิ์ที่ตกหล่น
กลยุทธ์ย่อยที่ 2.2 ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพที่มีคุณภาพ พัฒนาระบบการเฝ้าระวัง และติดตามช่วยเหลือเด็กยากจนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือการพัฒนาทักษะอาชีพตามความเหมาะสม
หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต
หมุดหมายที่ 12 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การพัฒนาคนสำหรับยุคใหม่ โดยการพัฒนาคนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ การพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถะสูงสอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตเป้าหมาย สามารถสร้างงานอนาคต และสร้างผู้ประกอบการอัจฉริยะที่มีความสามารถในการสร้างและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และพัฒนาทางเลือกในการเข้าถึงการเรียนรู้สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเรียนในระบบการศึกษาปกติ ทั้งนี้ หมุดหมายที่ 12 ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในประเด็นเป้าหมายประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ในประเด็นเป้าหมายคนไทยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพ พร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และสังคมไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุนต่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ในประเด็นเป้าหมายสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ และกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเป็นกำลังของการพัฒนาประเทศในทุกระดับ
ปี 2563 มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) เพื่อเป็นกลไกเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยจัดทำฐานข้อมูลบุคคลที่สามารถระบุคนจนเป้าหมาย หรือเรียกว่าระบบ TPMAP (Thai People Map and Analysis Platform) ซึ่งเป็นการนำข้อมูลรายบุคคลจากฐานข้อมูล จปฐ. มาเชื่อมโยงกับข้อมูลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และพิจารณาคนจนจากความขัดสนหลากหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index : MPI) ที่ประสบปัญหาใน 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา/เรียนรู้ รายได้ และเข้าถึงบริการภาครัฐ รวมทั้งกำหนดเป็นกลุ่มคนจนเป้าหมาย คือ ผู้ที่มีความขัดสนและเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งในปี 2565 มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนจนในฐานข้อมูล TPMAP จำนวน 1,025,782 คน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประกอบด้วย ระดับนโยบาย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน ระดับจังหวัด มีศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนฯ จังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน และถ่ายทอดระดับการปฏิบัติการไปสู่อำเภอและตำบล รวมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนฯ กรุงเทพมหานคร (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, 2565, หน้า 9 – 16)
คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) มีมติเมื่อการประชุมครั้งที่ 1/2565 วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับพื้นที่ โดยมีแนวทางดำเนินการภายใต้หลักการวงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA (Plan – Do – Check – Act) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยเป็น “วาระจังหวัด” โดยให้มีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการจังหวัดรายปี และมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) ประสานภาคีการพัฒนาต่าง ๆ และภาควิชาการในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว การเพิ่มศักยภาพคนเพื่อแก้ปัญหาความยากจน เป็นการเชื่อมโยงกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จำนวน 5 แผนแม่บท ได้แก่ (1) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (2) การพัฒนาการเรียนรู้ (3) เศรษฐกิจฐานราก (4) การบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ (5) พลังทางสังคม รวมทั้งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
กระทรวงมหาดไทย แจ้งแนวทางดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดถือปฏิบัติและเน้นย้ำว่าเป็นวาระแห่งชาติ วาระจังหวัด วาระอำเภอ และวาระแห่งชีวิตของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคน ซึ่งได้วางหลักการการแก้ปัญหาความยากจน (หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0211.1/ว 1612 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2565 เรื่อง แนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่) สรุปดังนี้
- กำหนดเป้าหมาย คือ การแก้ปัญหาความยากจนต้องเป็นแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือนหรือเป็น
“การตัดเสื้อพอดีตัว” โดยบุคคลเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ยากจนที่อยู่ในข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) และบุคคลที่เดือดร้อนตามข้อมูลของกรมการปกครองในระบบ Thai QM อาทิ ปัญหายาเสพติด เงินกู้นอกระบบ การไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยแบ่งเป้าหมายการแก้ไขปัญหาเป็น 3 ระดับ ได้แก่ (1) อยู่รอด (2) พอเพียง (3) ยั่งยืน - กลไกการขับเคลื่อน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทุกระดับ ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนขององค์กรปกครองท้องถิ่นและอำเภอ “ทีมจริงใจ” ทีมพี่เลี้ยง ภาคีเครือข่าย อาทิ นายกเหล่ากาชาดจังหวัด นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน สมาคม มูลนิธิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน - แนวทางดำเนินงาน อาทิ รวบรวมปัญหาความต้องการของประชาชน และประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การบูรณาการร่วมกับฝ่ายสถานสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสายด่วน 1567 รับปัญหาความเดือดร้อน ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอกำกับติดตามการวิเคราะห์ปัญหาและการจัดทำแผนครัวเรือน โดยวิเคราะห์ 4 ท (ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร ทางออก) และให้ครัวเรือนมีส่วนร่วมกับการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกับทีมพี่เลี้ยง การดำเนินงานจะสำเร็จได้จะต้องอาศัย3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ และความสามารถ
กระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 เพื่อแสดงเจตจำนงที่จะพัฒนาขีดความสามารถและความตระหนักด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในจังหวัด ผ่านการร่วมมือกับสหประชาชาติและภาคีเครือข่าย ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายหลัก เช่น ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัยสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยอยู่ภายใต้หลักการ 5P ได้แก่ (1) การพัฒนาคน (People) (2) สิ่งแวดล้อม (Planet) (3) เศรษฐกิจและความมั่งคั่ง (Prosperity) (4) สันติภาพและความยุติธรรม (Peace) (5) ความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership) (รายงานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1/2565, 1 กรกฎาคม 2565)
กล่าวโดยสรุป ปัญหาจากสถานะการพัฒนาประเทศ อาทิ เศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุดในรอบ 22 ปี ผลิตภาพแรงงานอยู่ในระดับต่ำ ผลิตภาพการผลิตรวมยังเติบโตช้า และปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง ทำให้ปัญหาความยากจนยังคงฝังรากลึกในสังคมไทย สาเหตุความยากจนเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ หนึ่ง ปัจจัยขัดสนจากภายนอก ที่ผู้ยากจนหรือผู้ขัดสนควบคุมไม่ได้โดยตรง สอง ปัจจัยขัดสนจากภายใน ที่ผู้ยากจนหรือผู้ขัดสนสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง การแก้ปัญหาความยากจนต้องดำเนินการแก้ไขทั้งสองปัจจัยหลักอย่างสมดุล และให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว โดยมีการดำเนินการที่เป็นระบบและต่อเนื่อง
หากพิจารณาสถานการณ์ความยากจนในปี 2564 จำนวนคนเกือบจน คนจนมาก และคนจนน้อย มีทั้งสิ้น 9.23 ล้านคน มีคนจนหลายมิติ จำนวน 5.7 ล้านคน คนที่ภาครัฐต้องให้การช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.5 ล้านคน ขณะที่ในปี 2565 มีครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจนข้ามรุ่นเกือบราว 600,000 ครัวเรือน ถือได้ว่าความยากจนยังเป็นเรื่องที่ต้องห่วงใยและต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างเข้มข้น เนื่องจากส่งผลต่อความสุข อยู่ดี กินดีของประชาชน และความสงบเรียบร้อยในสังคม
การแก้ความยากจนเป็นภารกิจที่ภาครัฐให้ความสำคัญทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ มีมุมมองการพิจารณาความยากจนทั้งที่เป็นตัวเงิน คือ รายได้ต่อเดือน และที่มิใช่ตัวเงิน อาทิ สุขภาพ ความเป็นอยู่ จำนวนทรัพย์สิน การได้รับการบริการพื้นฐานจากภาครัฐ การออม การศึกษาหรือการเรียนรู้ โดยมีความพยายามที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าควบคู่กับการดำเนินการระยะยาว มุ่งหมายที่จะยกระดับศักยภาพ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพที่มีผลิตภาพและรายได้สูงขึ้น ต้องการให้มีมาตรการพัฒนาคนที่มีความเฉพาะเจาะจงกับปัญหาของตัวบุคคลและครัวเรือน เพื่อให้มีขีดความสามารถเพียงพอ มีพฤติกรรมและวิถีชีวิตเหมาะสม ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและหลุดพ้นจากความยากจน อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาครัฐจะประกาศเป็นวาระแห่งชาติและวางกลไกการดำเนินงานแล้วก็ตาม ผู้เขียนยังเห็นว่า จำเป็นต้องมีการวางระบบ และแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้ขัดสนหรือผู้ยากจนโดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นแนวดำเนินงานเชิงลึกเฉพาะด้าน ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนได้สำเร็จ ต่อไป
หมายเหตุ เนื้อหาบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ”การพัฒนาศักยภาพคน ให้แก้จนอย่างยั่งยืน” ที่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนแบบโดยไม่รับอนุญาตเป็นลายลักษณอักษรจากผู้เขียน (ดร.ทิวากร พิศาลสฤษดิกรรม)